Correlation คืออะไร? ไขความลับ Forex ที่นักเทรดมืออาชีพต้องรู้!

Correlation คืออะไร? ไขความลับ Forex ที่นักเทรดมืออาชีพต้องรู้!

## เข้าใจ ‘ค่าสหสัมพันธ์’ ในตลาด Forex: เครื่องมือนักลงทุนมืออาชีพที่คุณควรรู้

ในโลกของการลงทุน โดยเฉพาะในตลาดปริวรรตเงินตรา หรือ Forex ที่มีการเคลื่อนไหวผันผวนตลอดเวลา นักลงทุนมืออาชีพต่างแสวงหาเครื่องมือและมุมมองที่ช่วยให้พวกเขามองเห็นภาพรวม บริหารความเสี่ยง และคว้าโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ เครื่องมือหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดและมักถูกพูดถึงในการวิเคราะห์เชิงลึกคือ “ค่าสหสัมพันธ์” (Correlation)

คุณเคยไหมที่เห็นคู่เงินบางคู่ในตลาด Forex เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันอย่างน่าประหลาดใจ เช่น เมื่อ EUR/USD ปรับตัวขึ้น GBP/USD ก็มักจะขยับตามไปด้วย หรือในทางกลับกัน เมื่อ USD/JPY แข็งค่าขึ้น AUD/USD กลับมีแนวโน้มอ่อนค่าลง นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คือผลพวงจากความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างคู่เงินเหล่านั้น ซึ่งเราเรียกว่า ค่าสหสัมพันธ์

**ค่าสหสัมพันธ์คืออะไรในบริบทของตลาดการเงิน?**

พูดให้เข้าใจง่ายที่สุด ค่าสหสัมพันธ์คือการวัดระดับและทิศทางของความสัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ทางการเงินสองรายการ โดยเฉพาะคู่เงินในตลาด Forex ค่านี้จะบอกเราว่าเมื่อราคาสินทรัพย์หนึ่งเปลี่ยนไป อีกสินทรัพย์หนึ่งมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปในทิศทางเดียวกัน สวนทางกัน หรือไม่มีความสัมพันธ์กันเลย โดยค่าสหสัมพันธ์จะมีช่วงตั้งแต่ -100% ไปจนถึง +100%

* **ค่าสหสัมพันธ์ +100%:** หมายถึงสินทรัพย์ทั้งสองเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันอย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าตัวหนึ่งขึ้น อีกตัวก็ขึ้นตาม ถ้าตัวหนึ่งลง อีกตัวก็ลงตาม ด้วยขนาดการเคลื่อนไหวที่สัมพันธ์กัน
* **ค่าสหสัมพันธ์ -100%:** หมายถึงสินทรัพย์ทั้งสองเคลื่อนไหวสวนทางกันอย่างสมบูรณ์แบบ ถ้าตัวหนึ่งขึ้น อีกตัวจะลง และในทางกลับกัน ด้วยขนาดที่สัมพันธ์กัน
* **ค่าสหสัมพันธ์ 0%:** หมายถึงสินทรัพย์ทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์กันเลย การเคลื่อนไหวของตัวหนึ่งไม่ได้ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของอีกตัวหนึ่ง

**ประเภทของความสัมพันธ์ที่คุณควรรู้**

จากค่าสหสัมพันธ์ที่เราได้กล่าวไป เราสามารถแบ่งความสัมพันธ์ออกเป็นสามประเภทหลักๆ ได้แก่

1. **ความสัมพันธ์เชิงบวก (Positive Correlation):** เกิดขึ้นเมื่อค่าสหสัมพันธ์เป็นบวกและอยู่ใกล้เคียง +100% สองสิ่งที่มีความสัมพันธ์เชิงบวกสูงจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ตัวอย่างคลาสสิกในตลาด Forex คือคู่เงิน EUR/USD และ GBP/USD ทั้งสองคู่เงินต่างมีสกุลเงิน USD เป็นส่วนหนึ่ง และสกุลเงิน EUR และ GBP ก็เป็นสกุลเงินหลักของเขตเศรษฐกิจใหญ่ในยุโรปที่มักจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่คล้ายคลึงกัน ทำให้เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงปัจจัยใดๆ ทั้งสองคู่เงินจึงมักมีแนวโน้มที่จะขยับไปในทิศทางเดียวกัน
2. **ความสัมพันธ์เชิงลบ (Negative Correlation):** เกิดขึ้นเมื่อค่าสหสัมพันธ์เป็นลบและอยู่ใกล้เคียง -100% สินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์เชิงลบสูงจะเคลื่อนไหวสวนทางกันอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น USD/JPY และ AUD/USD มักมีความสัมพันธ์เชิงลบสูง ลองนึกภาพตามว่าเมื่อ USD/JPY ปรับตัวขึ้น นั่นแปลว่า USD แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับ JPY ซึ่งเมื่อ USD แข็งค่าขึ้น ก็มีแนวโน้มที่จะทำให้ AUD/USD ปรับตัวลงเช่นกัน (เพราะ USD อยู่ที่ตัวหาร)

3. **ความสัมพันธ์เป็นศูนย์ (Zero Correlation):** เกิดขึ้นเมื่อค่าสหสัมพันธ์อยู่ใกล้เคียง 0% ในกรณีนี้ การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์หนึ่งจะแทบไม่มีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์อีกหนึ่งเลย สองสิ่งนี้เคลื่อนไหวเป็นอิสระต่อกัน

**ทำไมค่าสหสัมพันธ์จึงสำคัญต่อนักลงทุนและนักเทรด?**

ความรู้เรื่องค่าสหสัมพันธ์ไม่ใช่เพียงตัวเลขทางสถิติที่ซับซ้อน แต่เป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่นำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายมิติในการลงทุน:

1. **การกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective Diversification):** นักลงทุนมักถูกสอนให้กระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย แต่การเพียงแค่ซื้อสินทรัพย์หลายๆ ชนิดอาจไม่เพียงพอ หากสินทรัพย์เหล่านั้นมีความสัมพันธ์เชิงบวกสูง เมื่อตลาดขาลง พอร์ตลงทุนทั้งหมดก็มีแนวโน้มที่จะร่วงลงไปด้วยกันหมด การเข้าใจค่าสหสัมพันธ์ช่วยให้คุณสามารถเลือกสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์เชิงลบหรือใกล้เคียงศูนย์มาไว้ในพอร์ต เพื่อให้เมื่อสินทรัพย์หนึ่งปรับตัวลง อีกสินทรัพย์หนึ่งอาจมีแนวโน้มที่จะทรงตัวหรือปรับตัวขึ้น ซึ่งช่วยลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวม
2. **การบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management):** นอกจากการกระจายความเสี่ยงในภาพใหญ่แล้ว ค่าสหสัมพันธ์ยังช่วยในการจัดการความเสี่ยงในระดับการเทรดแต่ละครั้งได้อีกด้วย เช่น หากคุณเปิดสถานะซื้อ (Long) ในคู่เงินสองคู่ที่มีความสัมพันธ์เชิงบวกสูง นั่นเท่ากับว่าคุณกำลังรับความเสี่ยงซ้ำซ้อน หากตลาดผิดทาง คุณอาจขาดทุนหนักทั้งสองสถานะ ในทางกลับกัน การเปิดสถานะที่อาศัยความสัมพันธ์เชิงลบอาจเป็นกลยุทธ์การเฮดจิ้ง (Hedging) เพื่อป้องกันความเสี่ยง
3. **สร้างโอกาสในการเทรด (Creating Trading Opportunities):** ค่าสหสัมพันธ์สามารถเป็นพื้นฐานในการพัฒนากลยุทธ์การเทรดที่น่าสนใจได้ หนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมคือ “Pairs Trading” ซึ่งอาศัยความสัมพันธ์เชิงบวกที่แข็งแกร่งระหว่างคู่เงินสองคู่ หากคู่เงินคู่นั้นเคยมีสหสัมพันธ์สูงมาก แต่จู่ๆ การเคลื่อนไหวของราคากลับแตกต่างกันออกไปจากค่าเฉลี่ย นักเทรดอาจมองเห็นโอกาสในการเปิดสถานะ Long ในคู่ที่ปรับตัวลงผิดปกติ และ Short ในคู่ที่ปรับตัวขึ้นผิดปกติ โดยคาดหวังว่าค่าสหสัมพันธ์จะกลับมาสู่ภาวะปกติ ทำให้ได้กำไรจากการที่ราคาของทั้งสองคู่เงินกลับมาเคลื่อนไหวสัมพันธ์กันอีกครั้ง

**ค่าสหสัมพันธ์ในการปฏิบัติ: สิ่งที่นักเทรดควรพิจารณา**

การใช้ค่าสหสัมพันธ์ในการเทรดไม่ได้หมายถึงการยึดติดกับตัวเลขค่าสหสัมพันธ์แบบตายตัวตลอดเวลา เพราะค่าสหสัมพันธ์อาจเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะตลาดและปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เข้ามาใหม่ๆ นักเทรดควรมีการติดตามค่าสหสัมพันธ์ของคู่เงินที่สนใจอย่างสม่ำเสมอ การที่ค่าสหสัมพันธ์ระหว่างคู่เงินที่เคยมีความสัมพันธ์สูงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ อาจเป็นสัญญาณเตือนให้พิจารณาปรับกลยุทธ์หรือปิดสถานะเพื่อลดความเสี่ยง

นอกจากนี้ อารมณ์ตลาด (Market Sentiment) เช่น สภาวะ Risk-on (นักลงทุนกล้าเสี่ยง ย้ายเงินเข้าสินทรัพย์เสี่ยง) หรือ Risk-off (นักลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยง ย้ายเงินเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย) ก็มีส่วนสำคัญในการผลักดันความสัมพันธ์ระหว่างคู่เงินต่างๆ เช่น ในสภาวะ Risk-off สกุลเงินปลอดภัยอย่าง JPY หรือ CHF มักแข็งค่าขึ้น ในขณะที่สกุลเงินที่เชื่อมโยงกับสินค้าโภคภัณฑ์และความเสี่ยงอย่าง AUD หรือ NZD มักอ่อนค่าลง ซึ่งส่งผลให้คู่เงินที่เกี่ยวข้องมีความสัมพันธ์เชิงลบที่ชัดเจนขึ้น

**ข้อควรระวังที่สำคัญ: สหสัมพันธ์ไม่ใช่เหตุและผล**

นี่คือจุดที่สำคัญที่สุดที่นักลงทุนมักสับสน การที่สองสิ่งมีความสัมพันธ์กัน *ไม่ได้หมายความว่า* สิ่งหนึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้อีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเสมอไป

ตัวอย่างคลาสสิกที่มักยกมาอธิบายคือ ความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างยอดขายไอศกรีมกับจำนวนผู้จมน้ำในช่วงฤดูร้อน แม้สถิติจะชี้ว่าสองสิ่งนี้เพิ่มขึ้นลดลงไปในทิศทางเดียวกัน แต่เราคงไม่สามารถสรุปได้ว่าการกินไอศกรีมทำให้คนจมน้ำมากขึ้น ปัจจัยร่วมที่อธิบายความสัมพันธ์นี้คือ “อากาศร้อน” ซึ่งทำให้นักท่องเที่ยวออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง (รวมถึงว่ายน้ำ) มากขึ้น และส่งผลให้ยอดขายไอศกรีมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ในขณะเดียวกัน การมีคนว่ายน้ำมากขึ้นก็เพิ่มโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุการจมน้ำ

ในตลาด Forex ก็เช่นกัน การที่ EUR/USD และ GBP/USD เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ได้แปลว่าการเคลื่อนไหวของ EUR/USD เป็นสาเหตุของการเคลื่อนไหวของ GBP/USD หรือในทางกลับกัน แต่เป็นเพราะทั้งสองคู่เงินต่างได้รับผลกระทบจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของภูมิภาคยุโรปและปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ คล้ายๆ กัน การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง “สหสัมพันธ์” และ “เหตุและผล” (Causation) จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งยวด เพื่อไม่ให้เข้าใจผิดและตัดสินใจเทรดโดยใช้ข้อมูลที่ตีความผิดไปจากความเป็นจริง

นอกจากนี้ เพื่อไม่ให้สับสน ค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) ยังแตกต่างจากการวิเคราะห์การถดถอย (Regression) เล็กน้อย โดยสหสัมพันธ์เพียงวัดความสัมพันธ์และทิศทาง แต่การถดถอยนั้นซับซ้อนกว่า โดยพยายามสร้างแบบจำลองเพื่อทำนายค่าของตัวแปรหนึ่งจากค่าของตัวแปรอื่น

**สรุป**

ค่าสหสัมพันธ์เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทรงคุณค่าสำหรับนักเทรด Forex ทุกระดับ ตั้งแต่ผู้เริ่มต้นไปจนถึงมืออาชีพ ช่วยให้มองเห็นความเชื่อมโยงที่ซ่อนอยู่ระหว่างสินทรัพย์ต่างๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการบริหารความเสี่ยง การกระจายพอร์ตลงทุนให้มีประสิทธิภาพ และการค้นหาโอกาสในการเทรดใหม่ๆ

อย่างไรก็ตาม การใช้ค่าสหสัมพันธ์ต้องมาพร้อมกับความเข้าใจที่ถูกต้องว่ามันคือการวัด “ความสัมพันธ์” ไม่ใช่ “เหตุและผล” และค่าสหสัมพันธ์อาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสภาวะตลาด การศึกษาและทำความเข้าใจกลไกพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังความสัมพันธ์เหล่านั้น จะช่วยให้การใช้เครื่องมือนี้มีประสิทธิภาพสูงสุด และนำไปสู่การตัดสินใจลงทุนที่รอบคอบมากยิ่งขึ้น

ตลาด Forex เป็นตลาดที่มีความเสี่ยงสูงเสมอ การศึกษาหาความรู้ ทำความเข้าใจเครื่องมือการวิเคราะห์ต่างๆ รวมถึงการวางแผนบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญที่สุดก่อนตัดสินใจนำเงินลงทุนเข้าสู่ตลาด ขอให้นักลงทุนทุกท่านโชคดีกับการเดินทางในโลกของ Forex ครับ

Leave a Reply

Back To Top