ค่า spread คืออะไร: ทำไมเทรดเดอร์ Forex ต้องรู้ ต้นทุนแฝงกำไรจริง!

ค่า spread คืออะไร: ทำไมเทรดเดอร์ Forex ต้องรู้ ต้นทุนแฝงกำไรจริง!

## สเปรดในการเทรด Forex: ต้นทุนที่มองไม่เห็น ซึ่งนักเทรดทุกคนต้องทำความเข้าใจ

เส้นทางสู่การเป็นนักเทรดในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือ Forex นั้นเต็มไปด้วยโอกาส แต่ขณะเดียวกันก็มีความท้าทายและรายละเอียดปลีกย่อยมากมายที่ต้องศึกษา หนึ่งในหัวข้อพื้นฐานที่สำคัญยิ่งยวด แต่กลับเป็นสิ่งที่นักเทรดมือใหม่หลายคนอาจมองข้ามไป นั่นคือ “สเปรด” (Spread) หรือส่วนต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขายของคู่สกุลเงิน ซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจสำคัญของต้นทุนในการซื้อขายในตลาดแห่งนี้ การทำความเข้าใจสเปรดอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่เพียงแค่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ต้องเข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร มีกี่ประเภท และปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลกระทบต่อสเปรด จะช่วยให้นักเทรดสามารถบริหารจัดการต้นทุน วางแผนการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างยั่งยืน

ลองนึกภาพง่ายๆ ในชีวิตประจำวันเวลาที่เราต้องการแลกเปลี่ยนสกุลเงินสำหรับการเดินทางไปต่างประเทศ เราจะสังเกตได้ว่า อัตราที่เราซื้อเงินสกุลต่างประเทศ (อัตราขายของธนาคาร/ร้านแลกเงิน) มักจะสูงกว่าอัตราที่เราจะขายเงินสกุลต่างประเทศคืน (อัตราซื้อของธนาคาร/ร้านแลกเงิน) ส่วนต่างเล็กๆ น้อยๆ ตรงนี้แหละ คือ “สเปรด” ในบริบทของการแลกเปลี่ยนเงินทั่วไป ซึ่งเป็นกลไกที่ทำให้ผู้ให้บริการแลกเงินมีรายได้จากการอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยน ในตลาด Forex ซึ่งเป็นการซื้อขายสกุลเงินขนาดใหญ่และรวดเร็วกว่ามาก กลไกของสเปรดก็คล้ายคลึงกัน แต่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่างๆ มากกว่า

**ทำความเข้าใจ “สเปรด” คืออะไรในโลก Forex?**

ในตลาด Forex การเทรดคู่สกุลเงินใดๆ เราจะเห็นราคาเสนออยู่สองด้านเสมอ คือ **ราคาเสนอซื้อ (Bid Price)** และ **ราคาเสนอขาย (Ask Price)**

* **ราคาเสนอซื้อ (Bid Price):** คือราคาที่โบรกเกอร์ (ผู้ให้บริการซื้อขาย Forex) พร้อมที่จะ “ซื้อ” สกุลเงินหลักจากคุณ หรือพูดง่ายๆ คือราคาที่คุณในฐานะนักเทรดสามารถ “ขาย” สกุลเงินนั้นได้ในขณะนั้น
* **ราคาเสนอขาย (Ask Price):** คือราคาที่โบรกเกอร์พร้อมที่จะ “ขาย” สกุลเงินหลักให้กับคุณ หรือราคาที่คุณในฐานะนักเทรดสามารถ “ซื้อ” สกุลเงินนั้นได้ในขณะนั้น

จะสังเกตได้ว่า ราคาเสนอขาย (Ask) มักจะสูงกว่าราคาเสนอซื้อ (Bid) เสมอ **ส่วนต่างระหว่างราคา Ask และ Bid นี่แหละ คือ “สเปรด”** ซึ่งเป็นรูปแบบหลักของต้นทุนการเทรดที่โบรกเกอร์เรียกเก็บจากนักเทรดในแต่ละครั้งที่เปิดออเดอร์

ยกตัวอย่างเช่น หากคุณดูคู่สกุลเงิน EUR/USD บนแพลตฟอร์มเทรด แล้วเห็นราคา Bid อยู่ที่ 1.10558 และราคา Ask อยู่ที่ 1.10562

สเปรดของคู่เงิน EUR/USD ในขณะนั้นจะเท่ากับ:
สเปรด = ราคา Ask – ราคา Bid
สเปรด = 1.10562 – 1.10558 = 0.00004

ส่วนต่าง 0.00004 นี้เอง คือค่าสเปรดในการเทรดคู่ EUR/USD ณ เวลานั้น ในวงการ Forex เรามักจะเรียกส่วนต่างเล็กๆ นี้ในหน่วยที่เรียกว่า “ปิ๊บ” (Pip) สำหรับคู่เงินส่วนใหญ่ที่มีทศนิยม 4 ตำแหน่ง หนึ่งปิ๊บจะเท่ากับ 0.0001 สำหรับคู่เงินบางสกุลที่มี JPY เป็นสกุลเงินรอง (เช่น USD/JPY) หนึ่งปิ๊บจะเท่ากับ 0.01 ในกรณีตัวอย่างของ EUR/USD ข้างต้น ค่า 0.00004 คิดเป็น 0.4 ปิ๊บ

เมื่อคุณเปิดสถานะซื้อ (Buy) คู่ EUR/USD คุณจะเข้าสู่ตลาดที่ราคา Ask (1.10562) และหากคุณต้องการปิดสถานะทันทีโดยการขาย (Sell) คุณจะต้องขายที่ราคา Bid (1.10558) หมายความว่าทันทีที่คุณเปิดออเดอร์ คุณจะติดลบทันทีเท่ากับค่าสเปรด (0.4 ปิ๊บ) ซึ่งเป็นต้นทุนที่คุณต้องจ่ายให้โบรกเกอร์ ดังนั้น ราคาต้องเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่คุณเทรดอย่างน้อยเท่ากับค่าสเปรดก่อน คุณจึงจะเริ่มมีกำไร

**ประเภทของสเปรด: ไม่ได้มีแบบเดียว**

โบรกเกอร์ Forex มีรูปแบบการคิดสเปรดหลักๆ อยู่สองประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป:

1. **สเปรดคงที่ (Fixed Spread):** ตามชื่อเลย สเปรดประเภทนี้จะมีค่าคงที่ ไม่ว่าสภาพตลาดจะผันผวนมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ข้อดีของสเปรดคงที่คือ คุณสามารถคาดการณ์ต้นทุนการเทรดได้อย่างแม่นยำ ทำให้ง่ายต่อการวางแผนและบริหารจัดการความเสี่ยง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับนักเทรดมือใหม่หรือผู้ที่ใช้ระบบเทรดอัตโนมัติ (Expert Advisor) ที่ต้องการความแน่นอนของต้นทุน อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงมาก หรือมีข่าวเศรษฐกิจสำคัญ โบรกเกอร์ที่ให้บริการสเปรดคงที่อาจไม่สามารถจับคู่คำสั่งซื้อขายของคุณได้ทันทีที่ราคาที่คุณเห็น แต่อาจมีการเสนอราคาใหม่ (Requote) ซึ่งหมายความว่าคุณอาจต้องเข้าหรือออกจากตลาดที่ราคาที่แตกต่างไปจากที่ตั้งใจไว้ หรือคำสั่งอาจไม่ถูกดำเนินการเลยก็เป็นได้

2. **สเปรดแปรผัน (Variable Spread) หรือ สเปรดลอยตัว (Floating Spread):** สเปรดประเภทนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพความผันผวนและสภาพคล่องของตลาดในขณะนั้น โดยทั่วไป ในช่วงที่ตลาดมีความเคลื่อนไหวปกติและมีสภาพคล่องสูง สเปรดแปรผันมักจะแคบกว่าสเปรดคงที่ ทำให้ต้นทุนการเทรดในภาวะปกติต่ำกว่า แต่ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงมาก มีข่าวสำคัญ หรือในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องต่ำ (เช่น ช่วงเวลากลางคืนที่ตลาดใหญ่ๆ ปิด) สเปรดประเภทนี้อาจกว้างขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้ต้นทุนการเทรดเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่คาดคิด ข้อดีคือ การเทรดด้วยสเปรดแปรผันมักจะไม่มี Requote คำสั่งซื้อขายมักถูกดำเนินการที่ราคาตลาดจริงในขณะนั้น ซึ่งสะท้อนสภาพตลาดได้ตรงไปตรงมามากกว่า แต่ข้อเสียคือการคาดการณ์ต้นทุนทำได้ยากกว่า

การเลือกว่าจะเทรดกับโบรกเกอร์ที่เสนอสเปรดประเภทใดขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรด ความสามารถในการรับความเสี่ยง และความเข้าใจในธรรมชาติของตลาดของนักเทรดแต่ละคน

**ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อ “ความกว้าง” ของสเปรด**

สเปรดของคู่สกุลเงินหนึ่งๆ ไม่ได้คงที่ตลอดเวลา (เว้นแต่คุณเลือกโบรกเกอร์ที่เสนอสเปรดคงที่ในภาวะปกติ) โดยทั่วไปแล้ว ความกว้างของสเปรดจะถูกกำหนดหรือได้รับอิทธิพลจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่:

1. **สภาพคล่องของตลาด (Market Liquidity):** นี่คือปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อสเปรด คู่สกุลเงินหลัก (Major Pairs) เช่น EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD จะมีสภาพคล่องสูงมาก มีปริมาณการซื้อขายมหาศาลตลอดเวลา ทำให้ง่ายต่อการจับคู่คำสั่งซื้อขาย ส่งผลให้สเปรดมักจะแคบที่สุด ในทางกลับกัน คู่สกุลเงินรอง (Minor/Cross Pairs) หรือคู่สกุลเงินเกิดใหม่ (Exotic Pairs) ซึ่งมีปริมาณการซื้อขายน้อยกว่า จะมีสภาพคล่องต่ำ ทำให้การจับคู่คำสั่งทำได้ยากกว่า ส่งผลให้สเปรดกว้างกว่ามาก

2. **ความผันผวนของตลาด (Market Volatility):** ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง เช่น ใกล้ช่วงที่มีการประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ (อัตราดอกเบี้ย, ตัวเลขการจ้างงาน, GDP) หรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันทางการเมือง/เศรษฐกิจ โบรกเกอร์และผู้ให้บริการสภาพคล่องมักจะเพิ่มความกว้างของสเปรดเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและคาดเดาได้ยาก

3. **ช่วงเวลาการเทรด (Trading Sessions):** ตลาด Forex เปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ โดยมีการส่งไม้ต่อระหว่างตลาดหลักในแต่ละภูมิภาค (เอเชีย, ยุโรป, อเมริกา) ช่วงเวลาที่ตลาดใหญ่ๆ เปิดทับซ้อนกัน เช่น ช่วงที่ตลาดลอนดอนและนิวยอร์กเปิดพร้อมกัน มักจะเป็นช่วงที่มีสภาพคล่องสูงสุดและสเปรดแคบที่สุด ในขณะที่ช่วงเวลาที่ตลาดปิดทำการ หรือช่วงที่ตลาดหลักแห่งใดแห่งหนึ่งยังไม่เปิด สภาพคล่องจะต่ำลงและสเปรดมีแนวโน้มกว้างขึ้น

4. **นโยบายของโบรกเกอร์ (Broker Policy):** โบรกเกอร์แต่ละรายมีรูปแบบธุรกิจและการจัดการสภาพคล่องที่แตกต่างกัน โบรกเกอร์บางรายอาจมีข้อตกลงกับผู้ให้บริการสภาพคล่องที่ดีกว่า ทำให้สามารถเสนอสเปรดที่แข่งขันได้มากกว่า ในขณะที่บางรายอาจมีสเปรดที่กว้างกว่า แต่มีค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่ต่ำกว่าแทน ซึ่งนำไปสู่ประเด็นสำคัญต่อไป…

**สเปรด vs. ค่าคอมมิชชั่น: ต้นทุนรวมที่แท้จริง**

เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่นักเทรดจะต้องพิจารณา “ต้นทุนรวม” ในการเทรด ไม่ใช่แค่สเปรดเพียงอย่างเดียว โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มักมีบัญชีเทรดให้เลือกหลายประเภท บางประเภทอาจเสนอสเปรดที่กว้างกว่า แต่ไม่มีการคิดค่าคอมมิชชั่นต่อการเทรดแต่ละครั้ง ในขณะที่บัญชีประเภทอื่น (เช่น บัญชี ECN หรือ Raw Spread) อาจเสนอสเปรดที่แคบมาก หรือใกล้เคียงศูนย์ แต่จะมีการคิดค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเติมตามปริมาณการเทรด (คิดเป็นต่อล็อต) เพื่อชดเชยรายได้ที่เสียไปจากสเปรดที่ต่ำ

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจเลือกบัญชีหรือโบรกเกอร์ ควรคำนวณต้นทุนรวมที่ต้องจ่าย ซึ่งก็คือ **สเปรด + ค่าคอมมิชชั่น (ถ้ามี)** และเปรียบเทียบว่าแบบไหนคุ้มค่าและเหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณมากที่สุด ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นนักเทรดที่เปิดออเดอร์บ่อยครั้งและถือสถานะไม่นาน (เช่น Scalper) ต้นทุนจากสเปรดและคอมมิชชั่นจะสะสมอย่างรวดเร็ว การเลือกบัญชีที่มีต้นทุนรวมต่อการเทรดที่ต่ำที่สุดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

บัญชีประเภท ECN (Electronic Communication Network) เป็นที่นิยมในหมู่นักเทรดที่ต้องการสเปรดที่แคบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ระบบ ECN จะเชื่อมโยงนักเทรดเข้ากับผู้ให้บริการสภาพคล่องและธนาคารโดยตรง ทำให้ได้สเปรดที่สะท้อนตลาดระหว่างธนาคาร ซึ่งมักจะแคบมาก หรือบางครั้งอาจเป็นศูนย์ (Zero Spread) ในช่วงที่มีสภาพคล่องสูง แต่โบรกเกอร์ ECN จะคิดค่าคอมมิชชั่นเป็นรายได้หลักแทน

**ข้อได้เปรียบของการเทรดด้วยสเปรดต่ำ**

การเทรดด้วยสเปรดต่ำย่อมหมายถึงต้นทุนในการเข้าและออกจากตลาดที่ต่ำลง ซึ่งมีข้อดีหลายประการ:

* **เข้าสู่โซนกำไรได้เร็วขึ้น:** เมื่อสเปรดแคบ ราคาไม่จำเป็นต้องเคลื่อนที่ห่างจากจุดเข้ามากนัก คุณก็สามารถครอบคลุมค่าสเปรดและเริ่มทำกำไรได้ ทำให้มีโอกาสปิดสถานะด้วยกำไรได้ง่ายขึ้น
* **เหมาะสมกับกลยุทธ์เทรดระยะสั้น:** นักเทรดที่เน้นกลยุทธ์ Scalping หรือ Day Trading ซึ่งมักเปิดและปิดออเดอร์หลายครั้งในแต่ละวัน จะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลจากสเปรดที่ต่ำ เพราะต้นทุนการเทรดแต่ละครั้งน้อยลง ทำให้แม้การเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อยก็สามารถสร้างกำไรได้ หากสเปรดกว้าง กำไรเล็กๆ น้อยๆ ที่คาดหวังอาจถูกกลืนหายไปกับค่าสเปรดหมด

**วิธีการตรวจสอบค่าสเปรด**

แพลตฟอร์มการเทรด Forex ส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น MetaTrader 4 (MT4), MetaTrader 5 (MT5) หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ของโบรกเกอร์ มักจะมีฟังก์ชันที่แสดงราคา Bid และ Ask ของคู่สกุลเงินต่างๆ อย่างชัดเจน ส่วนต่างระหว่างสองราคานี้คือสเปรดในขณะนั้น แพลตฟอร์มบางแห่งอาจมีตัวเลขแสดงค่าสเปรดปัจจุบันเป็นปิ๊บให้เห็นโดยตรง นอกจากนี้ คุณสามารถตรวจสอบข้อมูลสเปรดเฉลี่ยของแต่ละคู่เงินและแต่ละประเภทบัญชีได้บนเว็บไซต์ของโบรกเกอร์ที่คุณสนใจ

**สรุปส่งท้าย**

สเปรดไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขส่วนต่างเล็กๆ น้อยๆ บนแพลตฟอร์มเทรด แต่เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของต้นทุนในการซื้อขาย Forex ที่มีนัยสำคัญต่อผลการเทรดของคุณ การทำความเข้าใจว่าสเปรดคืออะไร มีกี่ประเภท ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้สเปรดเปลี่ยนแปลง และที่สำคัญคือ การพิจารณาเปรียบเทียบ “ต้นทุนรวม” (สเปรด + คอมมิชชั่น) ก่อนตัดสินใจเลือกโบรกเกอร์และประเภทบัญชี เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักเทรดทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมีประสบการณ์แล้วก็ตาม

การบริหารจัดการต้นทุนอย่างชาญฉลาด รวมถึงการเลือกเวลาเทรดที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงช่วงที่สเปรดกว้างเกินไป จะช่วยให้นักเทรดสามารถลดภาระค่าใช้จ่าย เพิ่มโอกาสในการทำกำไร และพัฒนาไปสู่การเป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จในตลาด Forex ได้

อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ลืมว่าการเทรด Forex มีความเสี่ยงสูง ราคาของสกุลเงินสามารถผันผวนได้อย่างรวดเร็ว และสเปรดเองก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาวะตลาด การศึกษาเรียนรู้ การฝึกฝนบนบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนใช้เงินจริง และการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งยวดในทุกการเทรด

หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจภาพรวมของ “สเปรด” ในตลาด Forex ได้อย่างชัดเจนและเป็นประโยชน์ต่อเส้นทางการเทรดของคุณนะครับ ขอให้ทุกท่านเทรดอย่างมีสติและประสบความสำเร็จครับ!

Leave a Reply

Back To Top