## แกะรอย ‘ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ’ : ทำไมค่าเงินนี้ถึงเขย่าโลกการลงทุนได้?
เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมเวลาได้ยินข่าวว่า ‘เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น’ ราคาทองคำถึงมักจะปรับตัวลงสวนทางกัน หรือทำไมคนในแวดวงการเงินทั่วโลกถึงให้ความสำคัญกับตัวเลขที่เรียกว่า ‘ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ’ กันนัก วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับเครื่องมือวัดความแข็งแกร่งของ ‘ราชาแห่งสกุลเงิน’ อย่างเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งก็คือ ‘ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ’ หรือ US Dollar Index (DXY) กันให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อให้เห็นภาพว่าเจ้าดัชนีตัวนี้มีความสำคัญอย่างไร และส่งผลต่อการลงทุนของเราอย่างไรบ้าง
**ทำความเข้าใจ “ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ” คืออะไร?**
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ DXY ไม่ใช่แค่ตัวเลขธรรมดา แต่เป็นเหมือนเครื่องมือชั่งน้ำหนักที่บอกว่าตอนนี้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ กำลังแข็งแกร่งหรืออ่อนแอลงเมื่อเทียบกับบรรดาสกุลเงินหลักอื่นๆ ทั่วโลก ดัชนีนี้ถือกำเนิดขึ้นในปี 1973 โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve) หลังจากที่ระบบการเงินโลกแบบเดิม (Bretton Woods) ล่มสลาย โดยตั้งค่าเริ่มต้นไว้ที่ 100 ณ เดือนมีนาคม ปีเดียวกันนั้นเอง

องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ DXY เคลื่อนไหวก็คือการเปรียบเทียบกับสกุลเงินในตะกร้าหลัก 6 สกุล ซึ่งแต่ละสกุลก็มีน้ำหนักไม่เท่ากันตามความสำคัญทางการค้า โดยมี ยูโร (EUR) เป็นหัวเรือใหญ่สุดถึง 57.6% ตามมาด้วย เยนญี่ปุ่น (JPY) 13.6%, ปอนด์สเตอร์ลิง (GBP) 11.9%, ดอลลาร์แคนาดา (CAD) 9.1%, โครนาสวีเดน (SEK) 4.2% และ ฟรังก์สวิส (CHF) 3.6% ดังนั้น เวลาเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ DXY ก็มีแนวโน้มจะอ่อนค่าลงมากที่สุด เพราะยูโรมีน้ำหนักเยอะที่สุดนั่นเอง
การอ่านค่า DXY นั้นตรงไปตรงมามากครับ หากดัชนีนี้ **’เพิ่มสูงขึ้น’ แปลว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กำลังแข็งค่าขึ้น** เมื่อเทียบกับกลุ่มสกุลเงินในตะกร้านี้ และในทางกลับกัน หากดัชนี **’ปรับตัวลดลง’ ก็หมายความว่าเงินดอลลาร์กำลังอ่อนค่าลง**นั่นเอง ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา DXY ก็มีการขึ้นๆ ลงๆ ตามสภาวะเศรษฐกิจโลก เคยขึ้นไปสูงสุดที่ 164.72 ในปี 1985 ซึ่งเป็นยุคที่เงินดอลลาร์แข็งค่ามาก และเคยลงไปต่ำสุดที่ 70.698 ในช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2008 เป็นเครื่องย้ำเตือนว่าค่าเงินดอลลาร์สามารถแกว่งตัวได้รุนแรงเพียงใด
**ทำไมดัชนีดอลลาร์ถึงสำคัญกับสินทรัพย์อื่น?**
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่นักลงทุนจับตา DXY ก็เพราะมันมีความสัมพันธ์ที่น่าสนใจกับสินทรัพย์อื่นๆ ครับ โดยเฉพาะ ทองคำ น้ำมัน และสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ เรามักจะเห็นความสัมพันธ์ในเชิง ‘ตรงกันข้าม’ หรือ Negative Correlation อยู่บ่อยๆ กล่าวคือ **เมื่อใดที่ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจนดัชนี DXY พุ่งสูงขึ้น ราคาทองคำ น้ำมัน และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ มักจะปรับตัวลงในทางตรงกันข้าม** และในยามที่ดอลลาร์อ่อนค่าลง ดัชนี DXY ลดต่ำลง เราก็มักจะเห็นราคาสินทรัพย์เหล่านี้ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย

ความสัมพันธ์นี้เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ ทั้งจากเรื่องที่ว่าสินค้าโภคภัณฑ์ส่วนใหญ่ซื้อขายกันด้วยเงินดอลลาร์ เมื่อดอลลาร์แพงขึ้น สินค้าก็เหมือนแพงขึ้นสำหรับผู้ซื้อที่ใช้สกุลเงินอื่น ความต้องการเลยลดลง หรือในยามที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน ผู้คนมักหันมาถือดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ทำให้ดอลลาร์แข็งค่า แต่ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงอย่างสินค้าโภคภัณฑ์ก็ลดลงไปด้วย นอกจากนี้ ความเคลื่อนไหวของดอลลาร์ยังส่งผลต่อการไหลของเงินทุนทั่วโลก ซึ่งมีผลต่อราคาของสินทรัพย์ต่างๆ ด้วยเช่นกัน
**ปัจจัยใดบ้างที่เป็นตัวขับเคลื่อนดัชนีดอลลาร์?**
ปัจจัยอะไรบ้างล่ะ ที่เป็นตัวกำหนดทิศทางของดัชนี DXY? ตัวการสำคัญที่สุดมักจะหนีไม่พ้นเรื่องของ **’อัตราดอกเบี้ย’ ในสหรัฐฯ** ที่กำหนดโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ครับ เมื่อ Fed มีแนวโน้มจะ ‘ขึ้นอัตราดอกเบี้ย’ เงินทุนจากทั่วโลกก็จะไหลเข้าสหรัฐฯ เพื่อหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น ทำให้ความต้องการเงินดอลลาร์เพิ่มสูงขึ้นและส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในที่สุด ในทางกลับกัน การ ‘ลดอัตราดอกเบี้ย’ ก็มักทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง
นอกจากเรื่องดอกเบี้ยแล้ว **’การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ’** ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน หากเศรษฐกิจอเมริกาแข็งแกร่ง มีงานทำเยอะ บริษัททำกำไรดี ก็ยิ่งดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาลงทุน ซึ่งก็ต้องใช้เงินดอลลาร์ ทำให้ดอลลาร์แข็งค่าตามไปด้วย ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ เช่น อัตราการว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ หรือตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนจับตาอย่างใกล้ชิด
และสุดท้าย ปัจจัยด้าน **’ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจหรือการเมืองโลก’** ก็ส่งผลอย่างมาก ในช่วงที่โลกเผชิญวิกฤต สงคราม หรือความไม่แน่นอนครั้งใหญ่ เงินดอลลาร์มักถูกมองว่าเป็น **’สินทรัพย์ปลอดภัย’ (Safe Haven)** ผู้คนจะแห่กันมาถือเงินดอลลาร์ ทำให้ค่าเงินแข็งขึ้นและดันให้ DXY พุ่งสูงขึ้น ในทางกลับกัน หากโลกสงบสุข ความไม่แน่นอนลดลง ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างดอลลาร์ก็ลดลง DXY ก็มีแนวโน้มจะอ่อนค่าลงได้
**นักลงทุนใช้ดัชนีดอลลาร์อย่างไร?**
สำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Forex) การติดตามดัชนี DXY ถือเป็นเรื่องพื้นฐานสำคัญ เพราะมันบอกแนวโน้มภาพใหญ่ของเงินดอลลาร์ หาก DXY มีแนวโน้มขาขึ้น นักลงทุนที่มองว่าดอลลาร์จะแข็งค่าต่อ ก็อาจพิจารณาซื้อคู่สกุลเงินที่ดอลลาร์เป็นสกุลเงินหลัก เช่น USD/JPY (ซื้อดอลลาร์ขายเยน) หรือหาก DXY มีแนวโน้มขาลง ก็อาจมองหาโอกาสขายคู่สกุลเงินที่มีดอลลาร์เป็นตัวตั้งแทน เป็นการใช้ดัชนีนี้เป็นหนึ่งในสัญญาณประกอบการตัดสินใจเพื่อหาจังหวะในการเข้าหรือออกจากการลงทุนในคู่สกุลเงินต่างๆ

ไม่น่าแปลกใจที่ DXY จะมีความสำคัญระดับโลกขนาดนี้ เพราะเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยังคงสถานะเป็นสกุลเงินหลักของโลก เป็นเงินสำรองระหว่างประเทศที่ธนาคารกลางทั่วโลกถือครองมากที่สุด และยังถูกใช้เป็นสกุลเงินหลักในการค้าขายและธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศส่วนใหญ่ แม้สัดส่วนการถือครองเป็นเงินสำรองอาจลดลงบ้างจากอดีตเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้น แต่สถานะ ‘ราชาแห่งสกุลเงิน’ ก็ยังไม่สั่นคลอน จึงทำให้ความเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ผ่านดัชนี DXY ยังคงเป็นข่าวใหญ่และส่งผลกระทบในวงกว้างอยู่เสมอ
**อัปเดตสถานการณ์ปัจจุบันของดัชนีดอลลาร์ (ข้อมูล ณ 24 พฤษภาคม 2024)**
แล้วสถานการณ์ล่าสุดของดัชนี DXY เป็นอย่างไร? ข้อมูล ณ วันที่ 24 พฤษภาคม 2024 ดัชนี DXY อยู่ที่ประมาณ 104.098 USD หากมองการเคลื่อนไหวในระยะสั้น จะเห็นว่าในช่วง 24 ชั่วโมงล่าสุดและรายสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย (0.34% และ 0.30% ตามลำดับ) ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงแรงซื้อดอลลาร์ที่กลับเข้ามาบ้างในช่วงสั้นๆ ซึ่งอาจเกิดจากการตอบสนองต่อข่าวเศรษฐกิจหรือการเปลี่ยนแปลงความคาดหวังของตลาดในช่วงสั้นๆ
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือหากมองย้อนกลับไปในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ดัชนี DXY กลับ **’ลดลง’ ไปค่อนข้างมากถึง 2.77%** นี่สะท้อนให้เห็นว่าตลอดเดือนที่ผ่านมามีปัจจัยที่ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ อาจเป็นเพราะความคาดหวังที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจจะลดดอกเบี้ยเร็วขึ้นกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า หรือปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เงินทุนไหลออกจากดอลลาร์ไปหาสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าชั่วคราว เช่น ตลาดหุ้นบางแห่ง หรือสินทรัพย์ในประเทศอื่นที่เริ่มน่าสนใจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองภาพรวมในรอบปีล่าสุด ดัชนี DXY ก็ยังปรับตัว **’เพิ่มขึ้น’ เล็กน้อยที่ 0.10%** ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาพใหญ่ในรอบปียังเป็นการทรงตัวหรือแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แม้จะมีช่วงที่อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วในเดือนล่าสุดก็ตาม การเคลื่อนไหวนี้ย้ำเตือนเราว่าตลาดเงินมีความผันผวนสูง และปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการเงิน ตัวเลขเศรษฐกิจ หรือแม้แต่ข่าวสารรายวัน ก็สามารถเข้ามามีอิทธิพลต่อค่าเงินและดัชนี DXY ได้ตลอดเวลา ทำให้การติดตามแบบเรียลไทม์มีความสำคัญสำหรับนักลงทุนที่ต้องการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด
**สรุปและข้อคิดทิ้งท้าย**
สรุปแล้ว ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ DXY เป็นเครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนและผู้ที่สนใจเศรษฐกิจโลกควรทำความรู้จักไว้ เพราะมันเป็นเหมือนเข็มทิศชี้ทิศทางของ ‘ราชาแห่งสกุลเงิน’ ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดสินทรัพย์อื่นๆ มากมาย ทั้งทองคำ น้ำมัน สินค้าโภคภัณฑ์ หรือแม้แต่การเคลื่อนไหวของเงินทุนระหว่างประเทศ การทำความเข้าใจว่าปัจจัยใดบ้างที่ทำให้ DXY เคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตราดอกเบี้ย การเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือสภาวะความไม่แน่นอนทั่วโลก และอ่านการเคลื่อนไหวของมัน ก็จะช่วยให้เรามองภาพรวมตลาดได้ชัดเจนขึ้น และอาจช่วยในการตัดสินใจลงทุนได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้เสมอคือ **’การลงทุนมีความเสี่ยง’** ตลาดการเงินมีความผันผวนสูง ราคาต่างๆ อาจเปลี่ยนแปลงรวดเร็วตามปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ การใช้ข้อมูลดัชนี DXY เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์เท่านั้น ไม่ใช่การรับประกันผลตอบแทน ก่อนตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นค่าเงิน ทองคำ หรืออื่นๆ ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ ประเมินความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ และหากไม่แน่ใจ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเสมอครับ การเดินทางในโลกของการลงทุนต้องอาศัยทั้งความรู้ ความรอบคอบ และการบริหารความเสี่ยงที่ดี เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายได้อย่างมั่นคงที่สุด ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ก็เป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือที่จะช่วยให้การเดินทางของคุณชัดเจนและมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจมากขึ้นนั่นเองครับ.
