ไขข้อสงสัย สเปรด คืออะไร? เทรดแบบไหนให้ได้กำไร

ไขข้อสงสัย สเปรด คืออะไร? เทรดแบบไหนให้ได้กำไร

## ไขความลับ “สเปรด”: ต้นทุนแฝงที่คุณต้องรู้ก่อนลงสนามเทรด

ในโลกของการเงินและการลงทุนที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย มีกลไกและศัพท์เฉพาะมากมายที่นักลงทุนหน้าใหม่ หรือแม้แต่ผู้มีประสบการณ์ อาจยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ หนึ่งในนั้นคือคำว่า “สเปรด” (Spread) ซึ่งเปรียบเสมือนต้นทุนแฝงที่ซ่อนอยู่ในการทำธุรกรรมเกือบทุกประเภทในตลาดการเงิน การทำความเข้าใจสเปรดอย่างลึกซึ้งจึงไม่ใช่แค่เรื่องของความรู้ แต่เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้นักเทรดสามารถบริหารจัดการต้นทุน เพิ่มโอกาสทำกำไร และตัดสินใจได้อย่างเฉียบคมยิ่งขึ้น

**สเปรดคืออะไร? ทำไมจึงสำคัญ?**

ลองนึกภาพตามง่ายๆ เวลาเราไปแลกเงินตราต่างประเทศที่เคาน์เตอร์ธนาคาร เราจะเห็นว่ามีราคา “ซื้อ” และราคา “ขาย” ซึ่งไม่เท่ากัน ส่วนต่างระหว่างราคาทั้งสองนี้เองคือพื้นฐานของแนวคิดเรื่องสเปรด ในตลาดการเงิน สเปรดคือส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อ (Ask Price) ซึ่งเป็นราคาที่ตลาดหรือโบรกเกอร์ยินดีขายสินทรัพย์นั้นๆ ให้กับคุณ (หรือราคาที่คุณสามารถ *ซื้อ* ได้) กับราคาเสนอขาย (Bid Price) ซึ่งเป็นราคาที่ตลาดยินดีซื้อสินทรัพย์นั้นๆ คืนจากคุณ (หรือราคาที่คุณสามารถ *ขาย* ได้)

พูดง่ายๆ คือ ราคา Ask จะสูงกว่าราคา Bid เสมอ และส่วนต่างเล็กๆ นี้เองที่เป็นรายได้หรือค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์ได้รับจากการอำนวยความสะดวกในการซื้อขายให้กับนักเทรด ดังนั้น ทุกครั้งที่คุณเปิดสถานะซื้อขาย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ (Long) หรือขาย (Short) คุณจะต้องเริ่มต้นด้วยการ “ขาดทุน” เล็กน้อยเท่ากับค่าสเปรดนี้ก่อนเสมอ ราคาตลาดจะต้องเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์ไว้เป็นระยะทางที่มากกว่าค่าสเปรด คุณจึงจะเริ่มเห็นกำไรในสถานะนั้นๆ

หน่วยวัดสเปรดที่นิยมใช้กันในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Forex) คือ “ปิป” (Pip – Percentage in Point) ซึ่งโดยทั่วไปหมายถึงทศนิยมตำแหน่งที่สี่ของอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับคู่สกุลเงินส่วนใหญ่ (ยกเว้นคู่สกุลเงินที่เกี่ยวข้องกับเยนญี่ปุ่น ซึ่งมักจะเป็นทศนิยมตำแหน่งที่สอง) ตัวอย่างเช่น หากคู่เงิน EUR/USD มีราคา Ask อยู่ที่ 1.10558 และราคา Bid อยู่ที่ 1.10554 สเปรดจะเท่ากับ 1.10558 – 1.10554 = 0.00004 หรือคิดเป็น 0.4 ปิป นั่นหมายความว่าทันทีที่คุณเปิดออเดอร์ซื้อ EUR/USD ที่ราคา 1.10558 ราคาจะต้องปรับตัวขึ้นไปอย่างน้อย 0.4 ปิป (ไปที่ 1.10562) คุณจึงจะถึงจุดคุ้มทุน (ไม่รวมค่าธรรมเนียมอื่นๆ ถ้ามี)

**สเปรดไม่ได้มีแค่แบบเดียว: รู้จักสเปรดคงที่และสเปรดผันแปร**

โบรกเกอร์ต่างๆ อาจเสนอโครงสร้างสเปรดที่แตกต่างกันไป ซึ่งหลักๆ มีสองประเภทคือ:

1. **สเปรดคงที่ (Fixed Spread):** ตามชื่อเลย สเปรดประเภทนี้จะถูกกำหนดไว้ตายตัว ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะตลาด ไม่ว่าตลาดจะผันผวนรุนแรงหรือเงียบสงบเพียงใด ข้อดีคือ นักเทรดสามารถคำนวณต้นทุนการเทรดได้อย่างแม่นยำและคาดการณ์ได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความแน่นอน อย่างไรก็ตาม ข้อเสียคือสเปรดคงที่มักจะกว้างกว่าสเปรดผันแปรในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องสูง และในภาวะตลาดผันผวนรุนแรง โบรกเกอร์อาจประสบปัญหาในการรักษาสเปรดคงที่ หรืออาจเกิด “รีโควต” (Requote) คือการเสนอราคาใหม่ที่ไม่ตรงกับราคาที่นักเทรดต้องการในตอนแรก เนื่องจากราคาตลาดจริงได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนสเปรดคงที่ไม่สามารถสะท้อนได้ทัน

2. **สเปรดผันแปร (Variable/Floating Spread):** สเปรดประเภทนี้จะปรับเปลี่ยนไปตามสภาวะตลาดจริง ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านสภาพคล่องและความผันผวนเป็นหลัก ในช่วงที่ตลาดมีเสถียรภาพ มีผู้ซื้อผู้ขายจำนวนมาก (สภาพคล่องสูง) สเปรดจะแคบลง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อนักเทรด แต่ในทางกลับกัน หากตลาดมีความผันผวนสูง เช่น ช่วงประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ หรือช่วงที่สภาพคล่องต่ำ (เช่น เปิดตลาดเช้าวันจันทร์ หรือช่วงใกล้ปิดตลาดวันศุกร์) สเปรดจะกว้างขึ้นเพื่อสะท้อนความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น โบรกเกอร์ที่ให้บริการสเปรดประเภทนี้มักจะเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการสภาพคล่อง (Liquidity Provider) หลายราย ทำให้ได้ราคาที่ดีที่สุด ณ เวลานั้นๆ โดยทั่วไป คู่สกุลเงินหลักอาจมีสเปรดผันแปรตั้งแต่ 0.6 ปิป ถึง 1.5 ปิป ในภาวะปกติ แต่ก็อาจกว้างกว่านี้ได้มากในช่วงเวลาพิเศษ

**ปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อความกว้าง-แคบของสเปรด?**

การเปลี่ยนแปลงของสเปรดไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล แต่มีปัจจัยขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลังหลายประการ ได้แก่:

* **สภาพคล่องของตลาด (Market Liquidity):** สินทรัพย์ที่มีการซื้อขายกันอย่างคึกคัก มีปริมาณการซื้อขายสูง เช่น คู่สกุลเงินหลัก (EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD) มักจะมีสเปรดที่แคบกว่า เนื่องจากมีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากเข้ามาแข่งขันกันเสนอราคา ทำให้ส่วนต่างระหว่างราคา Ask และ Bid ลดลง ในทางตรงกันข้าม สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ เช่น คู่สกุลเงินรอง (Minor Pairs) หรือคู่สกุลเงินแปลกใหม่ (Exotic Pairs) มักจะมีสเปรดที่กว้างกว่า
* **ความผันผวนของตลาด (Market Volatility):** ในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง เกิดความผันผวนของราคาอย่างรุนแรง โบรกเกอร์มักจะขยายสเปรดให้กว้างขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงของตนเองจากการเปลี่ยนแปลงราคาอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือข่าวสารที่ไม่คาดฝัน มักเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความผันผวนและทำให้สเปรดถ่างออก
* **ช่วงเวลาการซื้อขายและข่าวสารเศรษฐกิจ:** ช่วงเวลาที่ตลาดหลักๆ ของโลก (เช่น ลอนดอน นิวยอร์ก โตเกียว) เปิดทำการพร้อมกัน มักจะมีสภาพคล่องสูงสุดและสเปรดแคบที่สุด ในขณะที่ช่วงคาบเกี่ยวหรือช่วงที่ตลาดใดตลาดหนึ่งปิดทำการ สภาพคล่องอาจลดลงและสเปรดกว้างขึ้น นอกจากนี้ ช่วงเวลาประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ (เช่น อัตราดอกเบี้ย ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ หรือ GDP) ถือเป็นช่วงที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะตลาดมักผันผวนสูงและสเปรดอาจกว้างขึ้นอย่างมากในระยะสั้น
* **นโยบายของโบรกเกอร์และประเภทบัญชี:** โบรกเกอร์แต่ละรายมีนโยบายและรูปแบบธุรกิจที่แตกต่างกัน บางรายอาจเสนอสเปรดที่ต่ำมาก แต่คิดค่าคอมมิชชั่นแยกต่างหาก (มักพบในบัญชีประเภท ECN – Electronic Communication Network) ในขณะที่บางรายอาจรวมค่าธรรมเนียมทั้งหมดไว้ในสเปรดแล้ว (มักเป็นบัญชี Standard หรือ STP – Straight Through Processing) การเลือกประเภทบัญชีให้เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและปริมาณการซื้อขายจึงเป็นสิ่งสำคัญ

**กลยุทธ์ในการรับมือและบริหารจัดการสเปรด**

เมื่อเข้าใจแล้วว่าสเปรดคืออะไรและมีปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลกระทบ นักเทรดก็สามารถวางแผนและใช้กลยุทธ์เพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนส่วนนี้ได้ ดังนี้:

1. **เลือกโบรกเกอร์อย่างชาญฉลาด:** เปรียบเทียบโครงสร้างสเปรดและค่าธรรมเนียมอื่นๆ ของโบรกเกอร์หลายๆ แห่ง มองหาโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียง น่าเชื่อถือ และเสนอเงื่อนไขที่โปร่งใส สเปรดที่ต่ำอาจดูน่าดึงดูด แต่ต้องพิจารณาคุณภาพการดำเนินการตามคำสั่ง (Execution) และปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย
2. **ตรวจสอบสเปรดก่อนเข้าเทรดเสมอ:** พัฒนานิสัยในการเช็คค่าสเปรดแบบเรียลไทม์บนแพลตฟอร์มเทรดของคุณก่อนตัดสินใจเปิดออเดอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นนักเทรดระยะสั้น (Scalper หรือ Day Trader) ที่กำไรต่อครั้งอาจไม่มากนัก สเปรดที่กว้างเกินคาดอาจทำให้กลยุทธ์ของคุณใช้ไม่ได้ผล
3. **วางแผนการเทรดรอบช่วงข่าว:** หากคุณไม่ใช่นักเทรดที่ถนัดการเล่นกับความผันผวนสูง การหลีกเลี่ยงการเปิดสถานะใหม่ในช่วงก่อนและหลังการประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญเพียงเล็กน้อย อาจช่วยให้คุณรอดพ้นจากสเปรดที่กว้างผิดปกติและความผันผวนที่คาดเดาได้ยาก หากจำเป็นต้องเทรดในช่วงเวลานั้น ควรมีแผนบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม
4. **เลือกประเภทบัญชีที่เหมาะสม:** หากคุณเทรดบ่อยและต้องการสเปรดที่แคบที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ บัญชีประเภท ECN ที่มีค่าคอมมิชชั่นอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่ถ้าคุณเทรดไม่บ่อยนัก หรือต้องการความง่ายในการคำนวณต้นทุน บัญชีสเปรดคงที่หรือบัญชี Standard อาจตอบโจทย์มากกว่า
5. **พิจารณากลยุทธ์การเทรด:** กลยุทธ์การเทรดบางประเภท เช่น Scalping หรือ Day Trading ที่เน้นทำกำไรเล็กๆ น้อยๆ จากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น จะอ่อนไหวต่อค่าสเปรดอย่างมาก สเปรดที่แคบจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ในขณะที่นักเทรดระยะยาว (Swing Trader หรือ Position Trader) อาจได้รับผลกระทบจากสเปรดน้อยกว่า เนื่องจากเป้าหมายกำไรต่อครั้งมักจะใหญ่กว่าค่าสเปรดมาก

**บทสรุป: สเปรด ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือส่วนหนึ่งของเกม**

สเปรดไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขส่วนต่างบนหน้าจอ แต่เป็นต้นทุนการทำธุรกรรมที่แท้จริงซึ่งส่งผลโดยตรงต่อผลกำไรขาดทุนของนักเทรดทุกคน การทำความเข้าใจธรรมชาติของสเปรด ประเภทต่างๆ ปัจจัยที่ส่งผลกระทบ และวิธีการบริหารจัดการ ถือเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในตลาดการเงิน การเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสม การตระหนักถึงสภาวะตลาด และการปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับค่าสเปรด ณ เวลานั้นๆ จะช่วยให้นักเทรดสามารถควบคุมต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพในการเทรด และก้าวเข้าใกล้เป้าหมายทางการเงินได้มากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องระลึกไว้เสมอคือ การลงทุนและการเทรดในตลาดการเงินมีความเสี่ยงสูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ทำความเข้าใจกลไกตลาดและผลิตภัณฑ์ที่ลงทุน รวมถึงพัฒนากลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมกับตนเอง เพื่อปกป้องเงินทุนและสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาว

Leave a Reply

Back To Top